มาจดบันทึกแบบบูโจกันเถอะ The Bullet Journal Method (เวอร์ชั่นมีภาพประกอบ) ตอนที่ 2

Peesamac
5 min readMay 19, 2020

--

  • สร้างสารบัญให้สมุด เราจะหาข้อมูลทุกอย่างเจอและเชื่อมโยงกัน
  • งานบางงาน มีเวลาของมัน เวลาเปลี่ยนไปมาตามความแน่นอนได้
  • มีอะไรก็จดลงไปเลย แล้วกลับมา Reflect ภายหลัง
  • ถ้าชีวิตเน้นบางอย่างเป็นพิเศษ ก็เปิดหน้าใหม่ให้มัน

​หลังจากตอนแรก (กดอ่านที่นี่ จิ้มๆ) เรารู้จักประวัติเบื้องต้น เหตุผลว่าทำไมต้องจดโน้ตแบบ Bullet Journal ไปแล้ว และเตรียมตัวที่จะขึ้นสมุดเล่มใหม่โดยการทำ Migration เตรียมย้ายข้อมูลจากที่เก่า มาสมุดเล่มใหม่พร้อม ก็ถึงเวลาที่เราจะไป Step ที่สองกัน นั่นก็คือ…..

Step สอง : Set-up BUJO system : ติดตั้งระบบ Bullet Journal ลงสมุดเล่มใหม่ตาม 4 แนวคิดหลัก

วิธีการตั้งค่าสมุดเล่มใหม่ต้องมาคำนึงถึงแนวคิดหลัก 4 ข้อด้านบน และเริ่มทำทีละขั้นตอน ดังนี้

1. ระบบ Index หรือ สารบัญเพื่อเชื่อมหน้าทุกหน้าเข้าหากัน

เป็นเหมือนโครงหลักที่สมุดต้องมี เรียกง่ายๆ ก็คือการหยิบยืมวิธีคิดแบบสารบัญของการทำหนังสือมาลงในสมุดแทน หรือเรียกอีกแบบก็คือเหมือนเรากำลังทำหนังสือเล่มนึงเล่าเรื่องตัวเอง เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่าหน้าถัดไปจะเป็นอะไร เพราะต้องรอเรื่องราวของวันพรุ่งนี้ แต่สามารถเขียนสารบัญ + กับหน้าปัจจุบันได้ก่อน ว่าตอนนี้เราเขียนเรื่องอะไรอยู่ และอยู่ในหน้าไหน ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้เราสามารถเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าหากัน เพราะธรรมชาติของงาน ปฏิทิน การนัดหมาย สิ่งที่ต้องจำ สิ่งที่ต้องทำ เหล่านี้มีวิธีจัดการไม่เหมือนกัน ถ้าเรามีสารบัญได้ เราสามารถโยนสิ่งเหล่านี้ไปมา และกลับไปหา และกลับไปรีวิวได้ง่ายด้วย

ขั้นตอนง่ายๆ ก็คือ
1. แบ่งหน้าแรกของสมุด สัก 2–4 หน้าแล้วแต่ความหนาของเล่ม เขียนว่า Index หรือสารบัญ
2. หลังจากนั้น เวลาเขียนหน้าใหม่ ให้เขียนหัวข้อ วันที่ และเลขหน้า หลังจากนั้นเอาหัวข้อและวันที่มาเขียนไว้ที่หน้า Index และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่ดีๆ เรามีหัวข้อใหม่ที่ต้องจดเป็น Collection พิเศษ (คืออะไร อยู่ด้านล่าง รอแป๊ปนึงครับ) ก็เปิดหัวข้อใหม่ได้เลย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ามันจะสวยไม่สวย ส่วนตัวผม แค่ถ้าเริ่มหัวข้อใหม่ ก็ขึ้นหน้าใหม่เท่านั้นเอง มันจะได้แยกได้ชัด

กรณีพิเศษ ที่ 1 : ถ้า 1 หัวข้อ เขียนไป แล้วสลับด้วยหัวข้ออื่น แล้วกลับมาเขียนหัวข้อเดิมอีกครั้ง ก็ไม่ต้องกังวล แค่ไปเพิ่มหน้าใน Index ว่าหัวข้อนี้ มีอีกหน้านะ อยู่ที่หน้านี้ด้วย (,) Comma ก็พอแล้ว ถ้าใครอยากจะพิเศษเพื่อให้อ่านง่าย ก็ไปลิงค์ตรงเลขหน้าของหน้าก่อนก็ได้ ด้วยเครื่องหมาย (/) เช่น หน้าเก่า = 1 หน้าใหม่ = 4–5 เราก็ไปอัพเดทหน้าเก่า เป็น 4/1 -> อ่านว่า มีต่อที่หน้า 4 หน้า และไปอัพเดทหน้า 4 ว่า 1/4 อ่านว่า ลิงค์มาจากหน้า 1 หน้า แต่ถ้าใครไม่ซีเรียส พอจำได้ ก็ดูแค่ Index ก็พอแล้ว ซึ่งทำให้เกิดกรณีพิเศษที่ 2 : ถ้าใครจะลิงค์ข้ามเล่ม ก็ทำได้แบบเดียวกัน แต่เพิ่มเลขเล่มไปด้วยข้างหน้า แต่ใจเย็นก่อน เอาเล่มแรกให้จบก่อนนะครับ (อันนี้บอกตัวเองอยู่)

2. ระบบ ย้ายเวลาไปมา ตามความแน่นอนของสิ่งที่ต้องทำ

ปกติแล้วถ้าใครทำโปรเจคในองค์กรเยอะๆ ผมว่าอันนี้น่าจะไม่ได้ตื่นเต้นมาก มันคือการวางแผน (Planning) จัดลำดับความสำคัญของงาน​ (Prioritization) และการลงมือทำ และเช็คการดำเนินงาน ยิ่งปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว สิ่งแบบนี้ต้องทำกันตลอดเวลา อย่างผมต้องทำทุกสัปดาห์และทุกวัน พออ่านเล่มนี้ก็สงสัยแต่แรก ถ้าเป็น To-do list มันง่ายมาก บางแอพ Project Management ดีๆ ที่ผมใช้อย่าง Clickup แค่สร้าง Task เราสามารถกำหนด Deadline แถมยังปักหมุด ให้ Priority ของมันได้ แถมยังทำ Time Boxing คือการล็อกเวลาของการทำงานคร่าวๆ ในแต่ละวันเพื่อให้การทำงานโฟกัสสูงสุด ถ้าอะไรเปลี่ยนก็แค่ลากไปวางอีกวัน ทั้งหมดก็เปลี่ยนตาม แต่ถ้ามันอยู่ในสมุด เราใช้ปากกาเขียนลงไปแล้ว ทำไงดีล่ะ

ความเจ๋งของระบบบูโจคือ ทำให้งาน หรือ Task สามารถเคลื่อนย้ายไปมาได้ ตามความแน่นอนของเวลา ดังนี้
Future Log หรืองานที่ต้องทำในอนาคต : ถ้าไม่แน่นอน จะเอาไปไว้ในหน้านี้ อารมณ์แบบสักวันนึงแหละต้องทำ ยังไม่แน่ใจ พักมันไว้ก่อน หรือจะเป็นกำหนดการณ์ที่น่าจะแน่นอนก็ได้นะ แต่ยังมาไม่ถถึง เช่นต้องไปเที่ยวญี่ปุ่น อีก 3 เดือน หน้านี้จะแบ่งเป็นเดือนๆ ถัดไป จะ 6 หรือ 12 เดือนก็ได้ แล้วแต่คน แล้วใส่ความคร่าวๆ นั้นลงไป
Monthly Log หรืองานที่ต้องทำเดือนนี้แหละ : โดยแบ่งเป็น 2 มุมมอง ซึ่งผมชอบมาก มันคือมุมมองของวัน เรียงตามวันที่ เราสามารถเอาอีเวนท์ การนัดหมาย มาใส่ในหน้านี้ได้ BUJO ชอบให้ใส่วันแบบ จันทร์ อังคาร พุธ ประกบวันที่ไว้ด้วย ดูจะได้รู้เลยว่าทำวันไหน อีกมุมมองหนึ่งก็คือ เป็นสิ่งที่ต้องทำแบบ Task List แต่ยังไม่ได้มีวันที่ชัดเจน ผมว่าอันนี้คือการ Prioritization หรือการจัดลำดับความสำคัญของทั้งเดือนว่าเดือนนี้เราจะโฟกัสกับเรื่องไรบ้าง
Daily Log หรืองานที่ต้องทำวันนี้ หรือสิ่งที่เจอ หรืออีเวนท์ที่ต้องไป โดยจะบันทึกแบบ Rapid Journal อย่างรวดเร็ว (ในระบบถัดไป) โดยเดี๋ยวว่ากันอีกทีว่ามันจดแบบไหนบ้าง

เมื่อเข้าใจแล้วว่าแต่ละหน้า ทำหน้าที่ต่างกัน สิ่งที่ควรจะต้อง Action ก็ควรจะเป็นสิ่งที่อยู่ในหน้าของ Daily Log เท่านั้น เพื่อให้เราโฟกัสงานที่เราต้องทำ ทุ่มพลังกายและใจให้เต็มที่ ปกติแล้วผมก็จะรีวิว Monthly Log หรืองานที่ค้างในเมื่อวานตอนกลางคืน และวางแผนของวันพรุ่งนี้ หรือถ้าระหว่างวันมีอะไรเกิดขึ้น ก็จะบันทึกลงใน Daily Log เลย ในหนังสือบอกว่าให้รีวิวทุกสัปดาห์ ลองจัดความสำคัญใหม่ แล้วดูว่าอะไรค้างอยู่ อะไรที่เราเรียนรู้ อะไรที่ไม่ต้องทำก็โยนกลับไปที่ Future Log อะไรที่สำคัญมาใหม่ในเดือน ก็ใส่ไว้ใน Monthly Log ทุกสัปดาห์วันอาทิตย์ก็ลองหาที่เงียบๆ นั่งกินกาแฟอุ่นๆ แล้วย้อนกลับไปดูว่า อาทิตย์นี้เราให้ความสำคัญกับอะไรดี แล้วก็เลือกมันมาใส่ Daily Log ไว้ทำ​ ซึ่งวิธีย้ายก็คือใช้สัญลักษณ์ของระบบ Rapid Journal ในขั้นถัดไป คือการใส่เครื่องหมาย < สำหรับย้ายไปเก็บใน Future Log และ > สำหรับย้ายไป Collection อื่นๆ

สำหรับผมที่ใช้มาประมาณ 1 สัปดาห์ พบว่า ยังมีข้อจำกัดบางอย่างในการย้ายไปมาอยู่ หนังสือบอกว่า ถ้างานไหนทำไม่เสร็จในวันนั้น มันอาจจะบอกความหมายหลายๆ อย่างก็ได้เช่นมันไม่สำคัญ ผมเห็นด้วย แต่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่า ถ้าจะทำสิ่งนั้นในวันถัดไป ผมควรย้ายมันทุกวันหรือไม่ เพราะสมุดก็จะรกๆ หน่อย แต่เดี๋ยวขอลองปรับไปมาก่อน จะเอาประสบการณ์มาแชร์ให้ฟังนะครับ

3. ระบบ Rapid Journal หรือการจดทั้ง “งาน” + “ความทรงจำ” = “ชีวิต” ลงไปในสมุดเล่มเดียว

อันนี้แทบจะเป็น Key Hilight ของ BUJO เลยสำหรับผม มันคือการจดทุกอย่างที่เกิดขึ้นลงใน Daily Log หรือ Collection พิเศษอย่างรวดเร็วแต่ผ่านการคัดกรองจากสมองละนะครับ ที่ต้องจดแบบเร็วเพราะทุกอย่างในชีวิตตอนนี้เข้ามาอย่างเร็ว ดังนั้นการจดมันไว้ก็ช่วยให้เราจัดการมันได้ดีขึ้น

ความน่าสนใจก็คือ BUJO แบ่งสิ่งที่เราต้องเผชิญในชีวิตเป็น 3 อย่างได้แก่
1. Task สิ่งที่ต้องทำ ต้องติ๊กออกนั่นเอง
2. Event สิ่งที่ต้องร่วม ต้องไป หรือเราไปร่วมมาแล้ว ต้องมี Action อะไรสักอย่าง
3. Memory สิ่งที่ต้องจำ จริงๆ อาจจะรวมถึง Fact ข้อเท็จจริง ไอเดีย ความคิดที่เกิดขึ้น สิ่งที่สังเกตตัวเอง ใน Website Bullet Journal เรียกอันนี้ว่า Note แต่ผมขอเรียกว่า Memory ละกันนะครับ เพราะรู้สึกว่า ถ้ามันต้องจดลงสมุด แปลว่ามันสำคัญพอที่เราต้องจำมัน

จะเห็นได้ว่า Action ของแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน แต่ความน่าสนใจก็คือ หลายๆ ครั้ง มันเกิดขึ้นพร้อมกัน ซ้อนกันไปมา ระหว่างประชุม อาจจะเกิดการนัดหมาย งานที่ต้องทำ 5 อย่าง แล้วเราก็หันไปคุยแล้วได้ไอเดียใหม่ ที่ยังไม่ต้องทำก็ได้ ผมเคยใช้ To-do list แล้วก็จะงงๆ มาก เพราะเอาไอเดียไปใส่ใน To-do แล้วก็เครียด เพราะไม่ได้เอามาทำสักที จริงๆ แล้วไอเดียที่ยังไม่ตัดสินใจ ก็ไม่ควรจะกลายเป็น Task และสิ่งที่ผมชอบก็คือ เราสามารถจัดความทรงจำเหมือนจดไดอารีลงไประหว่างวันเลย อะไรที่แว๊บขึ้นมา ก็จดลงไปเลย ไม่ต้องไปนั่งคิดตอนกลางคืนให้หมดพลัง ตอนกลางคืนเอาเวลากลับมาอ่านแล้ว Reflect สิ่งที่เกิดขึ้นดีกว่า ซึ่งการจะจัดทั้งหมดได้เร็วแบบนี้ จำเป็นต้องมี 2 อย่าง ได้แก่ สัญลักษณ์ และ การจดแค่สิ่งที่สำคัญเท่านั้น

สัญลักษณ์ที่ใช้ใน Rapid Logging ได้แก่

1. เกี่ยวกับ Task

สำหรับงานที่ต้องทำ
☓ สำหรับงานที่ทำเสร็จแล้ว (กาทับ )
> ย้ายงานนี้ไปเวลาอื่น collection อื่น (กาทับ )
< ย้ายงานนี้ไป Future Log เดี๋ยวค่อยดูอีกทีเดือนหน้านะ (กาทับ )
สำหรับงานที่มารีวิวมาและคิดว่าไม่ทำละดีกว่า

2 เกี่ยวกับอีเวนท์

◦ สำหรับอีเวนท์ที่ต้องไป นัดหมายที่ต้องเจอ หรือไปมาแล้วก็มาบันทึกได้นะ
อีเวนท์ยังกลายร่างเป็น Task ได้ด้วย แค่ฝนดำลงไปเท่านั้น

3. เกี่ยวกับ Note หรือ Memory

– อันนี้อยากจด อยากจำไร จดไปเลย

4. สัญลักษณ์พิเศษ

สำหรับงานที่ต้องทำและสำคัญเป็นพิเศษ
*◦ สำหรับอีเวนท์ที่ต้องไปและสำคัญเป็นพิเศษ
! — สิ่งที่ต้องจำและสร้างแรงบันดาลใจให้เรา
จริงๆ มันคือ สัญลักษณ์ * ที่บ่งบอกความสำคัญ และ ! บอกว่าว่ามันให้แรงบันดาลใจเรา ที่สามารถใส่ไว้ข้างหน้าของ 3 สิ่งที่ต้องจัดการได้

จะเห็นได้ว่าสัญลักษณ์แบบนี้ทำให้เราจดได้เร็วขึ้น จากที่ผมลองดูการรีวิว Bullet Journal ใน Youtube หลายๆ คนมีสัญลักษณ์พิเศษประจำตัว ส่วนตัวแล้วตั้งใจใช้สัญลักษณ์จาก Original ก่อนในช่วงแรก เพราะคิดว่ามันค่อนข้างเยอะอยู่และยังไม่ชิน ตอนนี้ผมเพิ่มแค่สัญลักษณ์ @ชื่อคน ก่อน Task สำหรับงานที่ต้องรอคนอื่นทำ ติดมาจาก To-do list หลายๆ ตัวในโลกออนไลน์ จะได้แยกถูกว่างานนี้เราไม่ต้องทำเองนะ แต่ต้องรอคนอื่นทำให้ แล้วเรามาทำต่อ คิดว่าในอนาคตอาจจะเพิ่มสัญลักษณ์ของตัวเองอีกก็ได้ แต่ตอนนี้ขอปรับตัวก่อน ที่น่าสนใจคือ ผมใช้มา 1 สัปดาห์ ตาจะเริ่มชิน สามารถมองทั้งวันที่จดเยอะๆ ให้เลือก ได้ว่า งานอะไรที่ยังทำไม่เสร็จบ้าง และตอนกลางคืนค่อยฟิลเตอร์ตา ให้เหลือ — วันนี้เราเรียนรู้อะไรมาบ้าง คิดว่ายิ่งทำไปสักพักก็จะยิ่งมองเร็วขึ้นแน่นอน

อีกประเด็นสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ระหว่างการจด นอกจากจะใช้สัญลักษณ์มาช่วยแยกประเภทสิ่งที่ต้องจัดการแล้ว เราก็ควรจดแค่ประเด็นสำคัญเท่านั้น วิธีการจดแค่ประเด็นสำคัญที่ผมใช้มากที่สุดก็คือ ให้มันไหลผ่านหัวสมอง และสรุปมาเป็นคำของตัวเอง นั่นน่าจะเป็นวิธีที่สร้างองค์ความรู้ใหม่ให้ตัวเองได้ง่ายที่สุด แถมเรายังเข้าใจในภาษาของตัวเองอีกด้วย เวลาอ่านจะได้อ่านได้ง่ายมากขึ้น

ปล. สำหรับ Daily Log แล้ว ไม่ต้องลงใน Index เพราะว่างานแต่ละวัน มันควรจบไปในวันเลย ถ้าไม่จบก็ย้ายตามเวลาก็ได้ และจะได้ไม่รก Index ด้วย ยิ่งทุกสัปดาห์ ทุกเดือนเรากลับไปรีวิวที่ผ่านมาทั้งหมดแล้ว แปลว่าหน้าของวันนั้น มันทำหน้าที่จบไปแล้ว เราควรจำ Move on และให้ Index เป็นที่เก็บสิ่งที่เรายัง Move on ไม่ได้ดีกว่า

4. ระบบ Customized Collection หรือ การยืดหยุ่นแบบจิ๊กซอ

ผมถือว่าอันนี้เป็นความ Sexy ที่สุดของ BUJO เพราะเป็นระบบที่ยืดหยุ่นอย่างมาก ซึ่งก็คือ ทุกคนสามารถเซทระบบพิเศษของตัวเอง ในหนังสือเรียกมันว่า Collection เพื่อจัดการบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องเอาไปปนกับเวลา เช่น ปี เดือน วัน มักจะเกิดกับสิ่งที่น่าจะต้องเป็นโปรเจคใหญ่ๆ เช่น จัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่น หรือสิ่งที่ทำบ่อยๆ แล้วแยกมาไว้หน้าเดียวกันมากกว่า น่าจะจัดการง่ายกว่า เช่น บันทึกการออมเงิน บันทึกอารมณ์ แผนการอ่านหนังสือที่ซื้อมาจากงานหนังสือและอ่านไม่จบ (อิอิ) ซึ่งเราสามารถแยกมันออกมาเป็นพิเศษในอีกหน้า เขียนชื่อหัวข้อให้ด้วยนะครับ และใส่เลขหน้าเหมือนเดิม และเอาไปใส่ Index ไว้ได้เลย เวลากลับมาอ่านจากอนาคต เราจะได้เห็นมันง่ายๆ

อีกความเจ๋งของ Collection คือ เราสามารถดูไอเดียของคนอื่นแบบ Opensource ทางความคิด คล้ายกับการเปิด Google Chrome และลง Extension ฟรีๆ จากคนอื่นได้ โดยเข้า Instagram แล้วเสิร์ช Hashtag #bulletjournal#bujo #bujoinspiration #bulletjournalist #bujoideas #bulletjournal2020 #bulletjournalideas #bulletjournaladdicts #bujoweekly แล้วเราก็จะพบไอเดียจำนวนมากจากเพื่อนทั่วโลกให้เราหยิบมาปรับ นำกลับมาใช้กันได้อย่างสนุกสนาน

ที่สำคัญในหนังสือ The Bullet Journal Method: วิถีบันทึกแบบบูโจ ก็ให้พื้นที่กับการอธิบาย Collection แบบต่างๆ อย่างลงระเอียดระดับปรัชญาเบื้องหลัง ผมอ่านแต่ละบทแล้วต้องใช้เวลาตกผลึกเงียบๆ แล้วคิดว่าจะเอาอันไหนมาใช้ก่อนดี เพราะแต่ละอันล้วนดีมาก อยากให้ลองไปซื้อมาอ่านกัน แล้วหยิบมาลองใช้ อันไหนถูกจริตก็ใช้ต่อได้ อันไหนไม่ใช่ ก็เปลี่ยนไปใช้อันใหม่ รูปด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างที่มีในหนังสือ และที่ผมคิดเองบ้างปนๆ กัน (กำลังจะลองใช้บางอันแหละ)

Step สุดท้าย​ : Do it, Reflect & Learning ใช้มันในชีวิตประจำวัน และทบทวนว่าแต่ละวันเป็นอย่างไรบ้าง เรียนรู้จากมัน และปรับวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม

เมื่อระบบเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาลงมือทำ มันอาจจะดูยุ่งยากสำหรับใครหลายคน รวมทั้งผมด้วย แต่การเริ่มระบบอะไรใหม่ๆ นอกจากเราต้องเข้าใจเป้าหมายแล้ว (กลับไปอ่าน Why ก่อน) เราต้องใส่ความพยายามเข้าไปเยอะกว่าปกติ ดังนั้นแนะนำให้ ฝืนในความไม่ชินไปก่อน สักพักมันก็จะเริ่มง่ายขึ้น จดเร็วขึ้น อ่านเร็วขึ้น ผมลองทำมาประมาณ 4–5 วันก็รู้สึกว่าเริ่ม Flow แล้ว พอเริ่ม Flow ได้สักพัก ก็อยากให้แต่ละคนออกแบบสมุดนี้ให้กลายเป็นระบบของตัวเองให้สมบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วเราน่าจะสนุกกับการจดโน้ตในทุกๆ วัน

จริงๆ แล้วในเชิงของการจดโน้ต การเซทระบบและขั้นตอนที่ผ่านมาล้วนเป็นสิ่งที่ดูสำคัญและมีประโยชน์ แต่สิ่งที่ Bullet Journal เน้นย้ำจนผมรู้สึกว่ามันสำคัญที่สุดก็คือ การไม่ได้ซีเรียสว่า การจดมันต้อง Perfect ทุกครั้งไป ผมลองอ่านไป ลองทำไป ผมรู้สึกว่า ช่างมันเถอะ ถ้าเขียนพลาด ก็ขีดฆ่าก็ได้ ถ้าไม่เรียงเป็นระเบียบ ก็ปล่อยมันไป ถ้ามันทำงานตามระบบและจุดประสงค์ของหน้านั้นได้ แค่นั้นก็พอ ผมสัมผัสได้ว่า การจดโน้ตแท้จริงแล้วเป็นเหมือนชีวิต เราต้องปล่อยให้มัน flow และเรียนรู้กันไป

ดังนั้นส่วนสำคัญกว่าน่าจะอยู่ตรงการกลับไปเปิดเรื่องราวที่ผ่านมา นั่งลองอ่านช้าๆ ในวันแสงแดดอุ่นๆ แล้วลองดูว่า งานที่เราทำเสร็จไป ทำให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง งานที่ค้างคา ทำไมมันไม่มีแรงผลักดันขนาดนั้น ความทรงจำกับเพื่อนดีๆ ที่จดลงไป เราโชคดีแค่ไหนที่มีคนดีๆ แบบนี้รอบตัว ความทรงจำไม่ดี เรื่องที่เราหงุดหงิดมันอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างให้เราต้องเริ่มถอยห่างแล้วก็ได้ อีเวนท์บางอันอาจจะกลับมาดูแล้วนึกขึ้นได้ว่า วันนั้นเราเคยไปทำสิ่งแบบนี้ด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้เราเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหมือนชีวิตของเรา ผ่านสมุดเล่มเล็กๆ ที่เป็นหมือนกระจกคอยสะท้อนความเป็นเราที่เกิดขึ้นในวันที่ผ่านมา และช่วยออกแบบการเดินไปข้างหน้าของเราให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นกว่าเดิม ชีวิตที่มีระบบระเบียบกว่าเดิม ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ง่ายกว่าเดิม

ขอบคุณที่อ่านกันมาจนจบ
หากใครใช้ BUJO อยู่แล้วติดขัด มาคุยกันได้เสมอ

ผมจะลองใช้สมุดนี้ให้ครบเล่มให้ได้
ถ้าเรียนรู้อะไรเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการจดในแต่ละวัน
ผมจะลองนำมันมาแบ่งปันกันนะครับ

Peesamac

ช่วงแนะนำของดีบอกต่อ
– ถ้าใครอยากเริ่มต้น ลองดูได้ที่ https://bulletjournal.com/pages/learn
– ถ้าใครอยากลงดีเทล ลองซื้อหนังสือ The Bullet Journal Method: วิถีบันทึกแบบบูโจ จากสำนักพิมพ์ Bookscape มาอ่าน ตอนแรกผมก็คิดว่ามันราคาสูงพอสมควร แต่พออ่านแล้ว มูลค่าที่ได้มันเยอะกว่ามาก แนะนำให้ไปซื้อมาอ่าน ควบคู่กับการลงมือทำไปพร้อมๆ กันนะครับ

--

--

Peesamac
Peesamac

Written by Peesamac

Co-founder, Learning Designer and Thinking at BASE Playhouse. Empowering Young Generation with Future Skill and Tecnology.

Responses (3)