ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากๆ ช่วงหลังมานี้ผมอยากจะฝึก Visual Thinking เลยพยายามสรุปหนังสือที่ได้ออกมาเป็นรูป ครั้นจะเก็บไว้คนเดียว ความคิดที่ได้จากการอ่านก็คงบูดหมด เลยอยากจะมาแชร์ไอเดียสั้นๆ พีคๆ เป็น Collection : Peesamac Backup ที่เก็บเอา Thinking เจ๋งๆ จากหนังสือมาปล่อยในโลกของออนไลน์ให้คนอื่นอ่านบ้างน่าจะดีกว่า
จริงๆ งานที่ทำอยู่ที่ BASE Playhouse ตอนนี้ก็เป็นแนว Learning Design เปลี่ยนความรู้ที่จับต้องยากๆ ไปออกแบบเป็น Workshop ง่ายๆ ให้น้องๆ มัธยม มหาลัย มาฝึกทักษะกัน ดังนั้นความฝันปลายทางของผมอย่างหนึ่งก็คือการแปลงร่างความรู้ในหนังสือ(ว่าจะไปขายโมเดลให้ Welearn) ให้กลายมาเป็นความรู้ที่จับต้องได้ ใช้ได้จริงผ่านรูปแบบต่างๆ ตอนนี้ขอเริ่มจากการสรุปหนังสือที่อ่านในทุกวันก่อนละกันนะครับ ค่อยเป็นค่อยไป
สรุปหนังสือ : พูดให้คนเข้าใจ…ง่ายแบบนี้เอง (ตอนที่ 1)
ใครเคยพูดแล้วไม่มีคนฟังไหมครับ
หรือพูดไป เขาฟัง แต่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี ?
ผมเข้าใจมาตลอดว่า ในการสนทนา เราต้องแคร์ผู้ฟังมากที่สุดแบบเทรนด์ User-centric หรือ Audience-centric แต่หนังสือเล่มนี้เปิดมาว่า ผู้พูดต่างหาก ที่สำคัญ เพราะในมุมที่เราเป็นคนฟัง จริงๆ แล้วเราจะฟังคนที่เรารัก หรือเราไว้ใจ ถ้าคนพูดไม่สามารถทำให้คนฟังรัก หรือไว้ใจได้ ต่อให้เนื้อหาที่พูดมันดีแค่ไหน เขาก็ไม่อยากฟังอยู่ดี ผมว่าเรื่องนี้มันไก่กับไข่ แต่เอาจริงก็เป็นมุมมองที่น่าสนใจ ว่าถ้าเราไม่รัก หรือไม่ไว้ใจ เขาพูดอะไรมา ก็ปิดหูใส่อยู่ดี
หนังสือเล่มนี้พูดถึงพลังของผู้พูดอย่างมาก ว่าพลังนั้นทำให้เป้าหมายของการสื่อสารสมบูรณ์หรือเปล่า แล้วเป้าหมายของการสื่อสารคืออะไรละครับ ลองมาดูจากภาพที่อธิบายถึงการสื่อสารนี้กันครับ
เป้าหมายของการสื่อสาร คือ การเข้าใจตรงกัน ดังนั้น การเข้าใจให้ตรงกันให้ได้ ต้อง Balance ระหว่าง เรื่องที่คนพูดอยากจะพูด ว่ามีความหมายกับคนที่ฟังหรือเปล่า และเรื่องที่จะพูดนั้น ก็มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ ถ้ามันไม่ make sense พูดไป คนฟังก็รู้สึกไม่อยากฟังอยู่ดี ที่สำคัญ ถ้าทั้งสองอย่างนั้นโอเคแล้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่เหมือนเป็นประตูให้สารสื่อออกมาก็คือ ความไว้ใจ หรือความรู้สึกว่า เออวะ ชอบคนนี้ ฟังสักหน่อยละกัน ถ้าเปิดได้ ผู้ฟังก็จะเริ่มฟัง เราก็จะบรรลุเป้าหมายของเราคือทำให้เราเข้าใจตรงกันได้
เมื่อประตูเปิดออกแล้ว ส่วนสุดท้ายที่ผู้ฟังยังต้องการเช็คอยู่ก็คือ พลังผู้พูดนี่แหละครับที่จะเป็นตัวบอกว่า ควรค่าที่จะฟังหรือเปล่า ก่อนอื่น เราเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหมครับ
- เพื่อนมากระซิบบอกว่า คนนี้ไม่น่าคบ เอาเปรียบตลอด เราเลยไม่
- มีข่าวลือเกี่ยวกับครูคนใหม่ว่าสอนไม่ดี เราเลยไม่ลงวิชานี้
- เมื่อวานอ่าน Twitter คนรีวิวน้ำหวานในเซเว่นยี่ห้อใหม่ คนไม่ชอบกันเพียบ เลยไม่กล้าซื้อ เพราะไม่อร่อยแน่ๆ
- น้ำอีกยี่ห้อนึงทำแพ็คเกจสวยมาก เรานี่ซื้อตั้งแต่วันแรกก่อนใคร
- ต่อให้ขยันแค่ไหน หัวหน้าก็มองเราขี้เกียจอยู่ดี พออธิบายไปก็ไม่ฟัง สุดท้ายก็หมดพลัง และปลง
ทั้งหมดสร้างผลกระทบเชิงลบเหมือนๆ กันหมดเลยครับ ที่น่าสนใจก็คือ กลไกเบื้องหลังเรื่องเหล่านี้เหมือนกันหมดเลยคือข้อมูล ผู้เขียนบอกว่า มนุษย์ขี้เกียจหาข้อมูลเชิงลึกกับเรื่องทุกเรื่อง เราไม่เสียเวลาไปดูคุณค่าภายในจากทั้งคนและของ(ทำให้เราโดนการตลาดหลอกอย่างง่ายๆ) ยิ่งทุกวันนี้ข้อมูลไหลมาทับตัวตลอดเวลา สิ่งที่เราทำก็คือตัดสินใจจากข้อมูลที่มี ผมว่าไม่ใช่เราไม่อยากลงลึกนะครับ แต่มันไม่มีเวลา ถ้าเป็นเรื่องคน แน่นอนคุณค่าของแต่ละคนย่อมมีเรื่องดีให้มองเสมอ แต่พอเราไม่มีเวลาไปนั่งกินกาแฟเม้าส์มอยด้วย ไม่เคยทำกิจกรรมสนุกๆ ด้วยกัน เราก็นำแค่ข้อมูลจากที่เรารู้มาสร้างภาพในหัวของเราว่าคนๆ นี้ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน ถ้าเกิดภาพในหัวเราของคนนี้โอเค เราไว้ใจได้ เราก็จะฟังเขาทุกครั้ง แต่ถ้าไว้ใจไม่ได้ละ ก็บาย พูดอะไรมาเราก็ไม่ฟัง
ความยากมันอยู่ตรงนี้ครับ ตรงที่ถ้าเราเป็นคนพูด แล้วเป้าหมายของเราคือเข้าใจร่วมกัน แต่ถ้าคนฟังปิดประตูตั้งแต่แรก มันก็ไม่มีทางที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ง่ายๆ แล้วเราต้องทำอย่างไรละครับ สิ่งที่เราต้องทำก็คือเปลี่ยนให้ตัวเองไปเป็นสื่อแทน จากที่หัวหน้ารู้จักเราผ่านเพื่อนร่วมงาน จากที่เพื่อนรู้จักด้วยข่าวลือ จากพ่อแม่ที่คิดว่าเราขี้เกียจ เราใช้เครื่องมือที่เรามีก็คือ การพูด เพื่อส่งสารหรือให้ข้อมูลพวกเขา ในมุมที่เป็นตัวเราไปบ้าง ว่าเราเป็นคนแบบนี้นะ อดีตเราทำอะไรมา เรามีเป้าหมายในอนาคตอย่างไร เราให้คุณค่ากับเรื่องไหน และที่สำคัญ เรายังใช้คำพูดเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในใจของทั้งสองฝ่าย พอเขามีข้อมูลเรามากขึ้น เวลาเขาจะตัดสินใจฟังหรือไม่ฟัง พลังของเราก็จะมากขึ้นแน่นอนครับ
ช่วงนี้หลายๆ ที่สนับสนุนให้เด็กรุ่นใหม่มีทักษะ Active Listening หรือการฟังเชิงรุก เพราะเรามักจะพูดมากกว่าฟังมาตลอด แต่เมื่อผมอ่านเล่มนี้จบ ผมเลยคิดว่าเราก็ควรจะมีทักษะ Active Speaking กันด้วย ไม่ใช่เพื่อพูดๆ อย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการพูดเพื่อสร้างพลังให้กับตัวเอง ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความไว้ใจ และให้เราไปถึงเป้าหมายของการเข้าใจร่วมกันให้ได้ในที่สุด
ตอนหน้าผมจะเขียนเกี่ยวกับ “ความคิด” ที่เป็นเบื้องลึกเบื้องหลังของการพูดทั้งหมด จริงๆ แล้วการที่เราพูดไม่ดี พูดไม่เก่ง พูดไม่ทัน มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการพูดไม่เป็นก็ได้ แต่ต้นเหตที่มามันมาจากการ “คิดไม่เป็น” มากกว่า หนังสือเล่มนี้อธิบาย เทคนิคการคิดให้เป็นผ่านคำถามที่สนใจ ทำอย่างไร ไปดูกันตอนที่ 2 [เดี๋ยวเขียนเสร็จจะมีอัพเดทลิงค์นะครับ]
ขอฝากก่อนจบด้วยสองคำถามที่ผมตั้งให้กับตัวเองตอนอ่านจบ ลองคิดเล่นๆ กันดูนะครับ ว่าพลังของเรา มีเท่าไหร่ และถ้ามันยังน้อยอยู่ เราจะเพิ่มมันด้วยวิธีไหนได้บ้าง