Operation Varsity Blues ดูซีรีส์ ส่องการศึกษาเมกา กับโกงเข้ามหาลัยชั้นนำสุดมันส์

Peesamac
2 min readApr 19, 2021

--

ออกตัวก่อน :
- บทความนี้มีสปอยเยอะมากนะครับ ใครยังไม่ดู ไปดูก่อนเน้อออออ
- ผมเข้าใจบริบทการศึกษาประเทศอเมริกาผ่านหนังเรื่องนี้ อาจจะไม่ครอบคลุมความจริงทั้งหมด ถ้าเข้าใจผิด ขออภัยด้วยครับ

เพิ่งดูจบเมื่อวาน เลยอยากจะรีวิวเก็บไว้สักหน่อย รู้สึกเป็นสารคดีที่ดูจบแล้วมีคำถามให้คิดเยอะ ส่วนตัวก็ทำในวงการการศึกษาเลยชอบดูหนัง สารคดีที่ทำด้านการศึกษาอยู่แล้ว ที่เปิดดูเพราะรู้สึกเหมือนซีรีส์อย่าง SKY Castle ซีรีส์รีเมคชื่อดังจากเกาหลีที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแม่เกาหลีที่แข่งกันทำทุกวิธี ที่จะให้ลูกตัวเองเข้า SKY มหาวิทยาลัยตัวท็อป 3 อันดับของเกาหลีให้ได้ โดยมีโค้ชคิม ตัวร้ายที่ช่วยการโกงสารพัด และเรื่องราวก็จบกันไปแบบพังพินาศ แต่สนุกมาก อยากให้ได้ดู เคยคุยกันกับเพื่อนในทีมว่าถ้าไทยเอามาฉายเวลา Prime time การศึกษาไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเลย เพราะความเชื่อของพ่อแม่ที่ต้องช่วยให้เด็กแย่งชิงเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ซึ่งนั่นยังอยู่ในสังคมไทยอย่างมหาศาล ชีวิตเด็กไทยยังผจญภัยอยู่ในซีรีส์ แทบไม่ต่างกันเลย

Operation Varsity Blues: The College Admissions Scandal (2021) เป็นสารคดี ที่ดูเสร็จแล้วแทบจะรู้สึกเหมือนดู SKY Castle อีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบทเป็นประเทศอเมริกา เอาจริงเซอร์ไพรส์เหมือนกันนะครับ เพราะเข้าใจว่ากฎหมายหลายตัวของประเทศอเมริกาเพิ่มทางเลือกด้านการศึกษาไปเยอะแล้ว พอดูเรื่องนี้จบต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่า ชุดความเชื่อคลาสสิกที่ว่า

การศึกษาที่ดี เกิดจากมหาวิทยาลัยตัวท็อปเท่านั้น” ดังนั้น ต้องทำให้เด็กๆ ต้องแก่งแย่งกันเข้า พ่อแม่ต้องหาทุกวิธีเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ มหาวิทยาลัยก็ปั่นอันดับตัวเอง เพิ่มความยากในการคัดเข้าไปทุกปี ให้มันดูดีพรีเมียม

เป็นแนวคิดที่เกิดกันทั้งโลก ลองไปอ่านสรุปสารคดีเรื่องนี้ก่อน บางทีเราอาจจะมีคำตอบให้คำถามนี้

ใครเหมาะกับสารดคีเรื่องนี้ :
- คนที่สนใจการศึกษา และอยากรู้ว่าโครงสร้างความเชื่อของประเทศอย่างอเมริกาในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
- คนที่ชอบดู Documentary ด้วยความมันๆ ระดับกลางๆ มีปริศนาเบาๆ ให้ลองเดาว่าโกงด้วยวิธีไหน ได้เห็นว่าเออ แบบนี้ก็ทำได้ด้วย แต่สารคดีเรื่องนี้เป็นการใช้นักแสดง ก็เลยอาจจะดูไม่เรียลเท่าไหร่ แม้บทจะมาจากเสียงจริงที่ FBI อัดไว้ก็ตาม

เรื่องย่อ

สารคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ ริค ซิงเกอร์ (William “Rick” Singer) ผู้เคยเป็นโค้ชกีฬา และผันตัวมาเป็นนักแนะแนวการศึกษา จนสร้างบริษัทให้คำปรึกษาด้านการเรียนต่อมหาวิทยาลัย (เป็นคำสวยๆ) แต่วิธีที่ใช้พานักเรียนเข้าจริงนั้น เขาเรียกมันว่า Sidedoor หรือ ทางเข้าด้านข้างๆ ที่อ้างมาว่า จริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยก็มี Backdoor หรือประตูด้านหลัง เปิดไว้สำหรับการรับคนเข้าแบบพิเศษแต่แลกมาด้วยการจ่ายเงินสนับสนุนมหาศาล เลยตั้งคำว่า Sidedoor ขึ้นมา เพื่อบอกว่านี่คือวิธีลัดที่ประหยัดกว่า จริงๆ มันก็คือการโกงนั่นแหละ ซึ่งทักษะการขายเก่งของเขา ประกอบกับพ่อแม่ CEO ผู้บริหาร ดาราชั้นนำมากมายที่อยากให้ลูกตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยตัวท็อปในประเทศอเมริกาให้ได้ มหกรรมการโกงครั้งใหญ่นี้เลยเกิดขึ้นมา FBI บอกว่าเป็นคดีที่ผู้เกี่ยวข้องมีจำนวนเยอะมาก ในเรื่องมีฉากตอนที่พ่อแม่แต่ละคนถูกจับ จะเห็นประชาชนออกมาด่าเยอะมาก คิดว่าเพราะคนในประเทศคงรู้สึกถูกเอาเปรียบจากการโกงครั้งนี้ ยิ่งเป็นการเอาเปรียบจากคนที่รวยอยู่แล้วด้วย ยิ่งแค้นเข้าไปใหญ่

สรุปวิธีการโกงเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ

1. หาช่องว่างของการรับเข้าแบบพิเศษ​ เช่นตำแหน่งนักกีฬา ที่ใช้การสอบพื้นฐาน และผ่านการคัดเลือกจาก Resume ของนักเรียน ซึ่งปลอมได้ แต่งรูป แต่งประวัติได้ จะได้ไม่ต้องไปแข่งกับเกณฑ์ปกติ
2. อ้างว่าเป็นเด็กพิเศษต้องทำข้อสอบเฉพาะที่ แล้วให้คนที่เตรียมไว้มาช่วยเด็กนักเรียนทำข้อสอบ สามารถเลือกได้เลยว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่
3. ให้พ่อแม่โอนเงินเข้ามูลนิธิ แล้วโอนเงินจากมูลนิธิออกให้คนที่รับทำข้อ 1–2 จะได้ตรวจสอบยากขึ้น

ไปลองดูปัจจัยต่างๆ ที่ “เอื้อ”​ ให้เกิดการโกงครั้งนี้กันดีกว่า

1. สังคมออนไลน์ ตัวกระตุ้นชั้นดี

ในเรื่องมีฉากของนักเรียนไม่เยอะ แต่ที่เห็นชัดๆ เลยคือ Social network นี่แหละ ที่เป็นตัวกระตุ้นว่ามหาวิทยาลัยท็อปๆ เป็นสิ่งที่เท่ เป็นที่ที่ควรเข้า ผลก็คือพอนักเรียนเชื่อ และคิดว่าใช่ การกระทำก็เลยออกมาในรูปแบบของการกลับบ้านมาติวหนังสือ (เพิ่งรู้นะเนี่ย คิดว่าเด็กประเทศอเมริกาเรียนแบบแฮปปี้มาตลอด) หรือเลือกลงวิชาที่มีผลต่อการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพวกนี้ เลยเลือกไม่เรียนวิชาที่สนใจและชอบแทน

ส่วนใหญ่ในเรื่องมีทั้งเคสเด็กรู้ว่าพ่อแม่โกงให้ และไม่รู้ว่าพ่อแม่โกงให้ ซึ่งกระบวนการที่ริคทำนั้น ก็เนียนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ รู้ว่ากำลังอยู่ในกระบวนการโกง ในเรื่องไม่ได้เล่าว่าตอนพ่อแม่ถูกจับ ผลของเด็กพวกนั้นลงเอยยังไง แต่แน่นอนว่าน่าจะจบไม่ดีแน่ๆ

2. ลูกเข้าเรียน = พ่อแม่ได้เข้าเรียน

อันนี้น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของปัญหานี้ คิดว่าเป็น Insight ที่ว้าวที่สุดของเรื่องเลยทีเดียว ทั้งที่สามารถหาติวเตอร์ดีๆ ให้ลูกได้อย่างไม่ยาก เหตุผลที่พ่อแม่รวยๆ เหล่านี้ยอมจ่ายแพงๆ นั่นก็เพราะอยากรักษาสถานะของสังคมเอาไว้นั่นเอง ในเรื่องมีบางซีนบอกว่า การที่พ่อแม่เข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ได้ แต่ช่วยให้ลูกเข้าได้ ก็เหมือนพวกเขาได้เข้าไปเรียนด้วย หรือพ่อแม่บางคนเป็นศิษย์เก่า ถ้ามีกลไกบางอย่างการันตีว่าลูกๆ เขาจะได้เข้ามหาวิทยาลัยเลเวลเดียวกัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมจ่าย จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เปิดโโอกาสนั้นขึ้นมาให้ได้

3. มหาวิทยาลัยที่อยากให้เพิ่มอันดับความป๊อปของตัวเอง

ในเรื่องราวนี้ มหาวิทยาลัยรับบทเป็นฝ่ายโดนโกง สุดท้ายมีการไล่คนที่ร่วมมือกับ ริค ซิงเกอร์ ออกในฐานะรับสินบนเพื่อคัดเด็กเข้า (แม้จะไม่คืนเงินบริจาคก็ตาม) แต่ถ้าถอยมามองมากกว่านั้น แน่ละ ด้วยความเป็นองค์กรขนาดใหญ่ จำเป็นต้องมีเงินมาอุดหนุน ลงทุนสร้างการเรียนรู้ใหม่ๆ ก็เลยต้องหาทางในการเอาเงินนั้นเข้าสู่มหาวิทยาลัยนอกจากแค่ค่าเทอม สิ่งที่เซอร์ไพรส์มากก็คือ มหาวิทยาลัยตัวท็อปทั้งหมด มีโหมดรับบริจาคจากผู้ปกครองรวยๆ โดยที่ไม่ได้การันตีนะว่าลูกคนบริจาคจะเข้ามหาวิทยาลัยนั้นได้ แค่กระซิบว่า ฝ่ายคัดเด็กเข้าจะเห็นชื่อนี้เด่นเป็นพิเศษ

อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ ชื่อเสียง ความ Exclusive และอันดับของมหาวิทยาลัย เพราะเด็กเกิดเยอะขึ้นเรื่อยๆ Demand ที่มากขึ้น กับ Supply ที่จำกัด ก็ทำให้สัดส่วนคนสมัครกับคนเข้ายากพอแล้ว แต่ยังไม่พอ มหาวิทยาลัยก็เพิ่มเกณฑ์ขึ้นอีก ให้ดู Exclusive เข้าใจแหละว่าน่าจะเป็นตัวช่วยให้คัดได้ง่ายขึ้น แต่ก็นั่นแหละ มันยิ่งกระตุ้นให้ปัจจัยที่ 1 และ 2 ด้านบน อยากเข้ามากขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าการรับสมัครคนเข้ามหาวิทยาลัย คงหนีไม่พ้นการสอบ ทำคะแนนดีๆ และวัดด้วยการดูข้อมูลอื่นประกอบ เช่น การเขียน SOP การสัมภาษณ์ การดู Portfolio เพื่อหาหลักฐาน หรือ Evident ในการช่วยให้กรรมการ เลือกคนที่ “น่าจะเหมาะ” เลยเห็นได้จากหนังที่มีการมีโควตานักกีฬาเข้ามา ซึ่งเป็นทั้งโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักเรียนที่มีความสามารถด้านอื่น และเป็นช่องโหว่ไปในตัว ปัญหานี้คงเป็นกันทั่วโลก การวัดผลแบบ Choice ที่ชัดเจน มันตัดสินด้วยคะแนน คนโวยวายยาก แต่ทุกที่ก็พยายามหาวิธีการวัดใหม่ๆ เข้าไปด้วย อย่างไทยก็เริ่มเพิ่มรอบ Portfolio เพื่อต้องการเพิ่มโควตาการวัดคนจากคะแนนมาเป็นความสามารถกันแล้ว แต่น่าจะอีกนาน ที่น่าจะเห็นวิธีการวัดคนแบบใหม่ๆ เข้ามหาวิทยาลัย

4. คนที่เกี่ยวข้องกับระบบการสอบ

อีกปัจจัยหนึ่งจากในหนังก็คือ คนที่มีส่วนช่วยให้การโกงนี้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น โค้ชกีฬาของมหาวิทยาลัย คนมาช่วยเด็กทำข้อสอบ ถ้าระบบมีช่องโหว่ และคนโกงดูออก การที่จะมีใครสักคนใช้เงินเพื่อเป็นใบเบิกทางในการโกง ก็สามารถกระตุ้นให้คนเหล้านั้น พร้อมใจจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ได้

5. Sidedoor ช่องว่างของระบบการคัดเลือก

ช่องว่างทั้ง 4 ข้อทำให้เกิดโอกาสที่คนอย่าง ริค ซิงเกอร์ จะเข้ามาใช้ในการสร้างเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ให้เกิดขึ้น

  • พ่อแม่ที่อยากอัพสถานะ หรือทำให้สถานะสังคมเท่าเดิม -> ยอมจ่ายเงินมหาศาล
  • เด็กที่อาจจะรู้ไม่รู้ว่าพ่อแม่กำลังโกงให้อยู่ -> แต่พอสอบได้ก็ดีใจสุดตัว
  • มหาวิทยาลัย มีโควตาที่จำกัด ตั้งเงื่อนไขให้รับยากๆ ขึ้น -> กระตุ้นให้คนแข่งกันเข้า แย่งชิงที่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยมากขึ้น สร้างความเชื่อว่ามหาวิทยาลัยอื่นให้การศึกษาได้ดีพอ
  • คนที่เกี่ยวข้องกับระบบการสอบ -> มีโอกาส ก็ช่วยให้การโกงเกิดได้ง่ายขึ้น

ทั้งหมดนี้นี่แหละที่เป็นสาเหตุให้การโกงครั้งนี้เกิดขึ้น ถ้ามองกันชัดๆ ก็ไม่ได้ต่างกับไทยมากนัก แต่ส่วนตัวจากที่สัมผัสมาเชื่อว่า Factor อย่างเด็กไทย น่าจะอยากเรียนคณะที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของตัวเองมากกว่า ต่างจากปีที่ผมเรียนอยู่มหาศาล

แล้วจะเป็นยังไงต่อ

แน่ละ สำหรับบริบทประเทศไทย การโกงครั้งใหญ่ๆ อาจจะยังไม่เกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่มีใครรู้ จริงๆ โดยส่วนตัว ไม่ได้ชื่นชมกติกาการวัดผลเพื่อสอบเข้าด้วยวิธีเดียวอยู่แล้ว แต่เมื่อลองคิดแทนคณะ การจะเลือกเกณฑ์มาตัดสินว่าเด็กที่ควรจะเป็นคนเข้ามาอยู่ในคณะ เพื่อทำให้เขาได้ศึกษาสิ่งที่เขาอยากศึกษา ควรศึกษา พัฒนาตัวเองมากขึ้น เกณฑ์แบบไหนถึงจะเหมาะสมที่สุดในการคัดเลือก แน่ละ ผมคิดว่าความตั้งใจ อยากเรียนรู้ อาจจะเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญ ใครก็อยากได้เด็กที่อยากเรียนกับเราเนอะ แต่การนำกระบวนการสอบ สัมภาษณ์ ความต้องการอาชีพนี้ในบริบทของสังคม หรือเกณฑ์อื่นๆ มาใช้ด้วย ก็อาจจะต้องมาลองบาลานซ์สัดส่วนกัน ว่าน้ำหนักมันควรลงตรงไหน ให้มันเหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคณะไป

ผมเข้าใจเสมอว่าปัญหาทางการศึกษามันลิงค์กันเป็นระบบที่แยกไม่ขาด แต่เชื่อว่าถ้ามีจิ๊กซอตัวใดเปลี่ยนตำแหน่งจากเดิม ระบบการศึกษาบ้านเราอาจจะเปลี่ยนไปได้แน่ๆ สิ่งที่ยังเป็นสมมติฐานในใจเหมือนเดิมอยู่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบคล้ายๆ กับ Sky Castle ก็คือ

ถ้าความเชื่อของสังคม ความเชื่อของพ่อแม่ ที่เช่ือว่าชื่อเสียงกับคุณภาพของมหาวิทยาลัย จะส่งผลต่อคุณภาพของลูกๆ

ถ้าความเชื่อนี้เปลี่ยนไป การศึกษาไทยจะเปลี่ยนไปทางไหน อยากจะรู้จริงๆ

สุดท้าย มีคำถามที่เกิดขึ้นในหัวเพิ่มเติมที่โน้ตไว้ให้ตัวเองคิดต่อดังนี้
1. การดำรงอยู่ของมหาวิทยาลัยตัวท็อปจำเป็นแค่ไหน
2. เป็นไปได้ไหมที่จะกระจายความรู้จากมหาวิทยาลัยตัวท็อป สู่วงกว้าง ให้คุณภาพมันเท่าเทียมกันมากขึ้นสักนิด ในบริบทปัจจุบัน
3. ถ้าเปลี่ยนวิธีการคัดเลือก การประเมิน ไปใช้วิธีอื่น เช่น ให้เด็กศึกษา ทำบางอย่างมาก่อน มหาวิทยาลัยจะรับบทบาทเติมความรู้ ทักษะ เชื่อมโอกาสให้มากขึ้น ผลลัพธ์มันจะดีกว่าไหม
4. เปลี่ยนวิธีการจัดอันดับคุณภาพของมหาวิทยาลัยในด้านอื่นๆ มั้ย ให้มันมีหลายๆ แนว เช่น มหาวิทยาลัยที่เด็กรักกันมาก มหาวิทยาลัยที่เข้าไปแก้ปัญหาชุมชนได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด มหาวิทยาลัยที่นักศึกษาได้ทำสิ่งที่ชอบมากที่สุด

ผมขอบันทึกมันทิ้งไว้ เผื่อจะมีใครอยากคิดคำตอบของคำถามนี้ร่วมไปกับผม ก็สามารถคอมเมนต์มากันได้

เอาล่ะ ใครอยากดูแบบละเอียดขึ้น ไปดูกันได้เลยครับ ผมไม่กวนละ -> https://www.netflix.com/th-en/title/81130691

--

--

Peesamac
Peesamac

Written by Peesamac

Co-founder, Learning Designer and Thinking at BASE Playhouse. Empowering Young Generation with Future Skill and Tecnology.

No responses yet