A Beautiful Day in the Neighborhood หนังที่ตั้งคำถามกับความเป็นมนุษย์ของเราอีกครั้ง
(มีสปอยด์นะครับ)
สำหรับผม หนังสักเรื่องมักจะเป็นแหล่ง Entertain ชั้นดี
Entertain ในความหมายส่วนตัวของผม มักจะเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึก “สนุก” “ผ่อนคลาย” “มัน”
น้อยครั้งนักที่ผมจะเสพย์หนังสาระ ปรัชญาชีวิต แง่คิดทั้งหลาย
ผมโยนหน้าที่แบบนั้นให้กับสื่ออย่างหนังสือมากกว่า
ก็ชีวิตทุกวันนี้มันมีเรื่องให้คิดเยอะแล้วเนอะครับ
แต่วันนี้ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่โรงหนัง House Samyarn
เดินขึ้นไปจากบ้าน BASE Playhouse ของผมแค่สามชั้น
หนังเรื่องนี้ผมชวนเจ้าแบงค์ แฟนที่น่ารักของผมตั้งแต่วันพุธ เพราะโหลดแอพ House มาทดลอง
เจอคำโปรยว่า หนังเรื่องนี้จะเยียวยาคนที่มีอาการ Burn-out
ไอ้เราที่กำลังสงสัยว่าตัวเองเป็นอาการนี้หรือเปล่า ก็ตกหลุมพลางทางการตลาด
ไปดูจนได้ ดูจบ เอ๊ะ มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับอาการนี้เลยดีกว่า
แต่สิ่งที่ได้เป็นความละเมียดละไมในใจ
ไม่ได้ทิ้งปมอะไรไว้ให้เยอะ ได้โมเม้นต์บางอย่างระหว่างดูหนัง
ที่ Reflect ไปยังชีวิตที่ผ่านมาของผมเลยมากกว่า
ก็เลยอยากจะมาแชร์ความรู้สึกที่ได้จากหนังให้ฟังกัน
1. ความเป็นมนุษย์ที่ผิดพลาดได้
หนังกล่าวถึงพ่อของพระเอกที่ทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เด็ก
และเพิ่งมารู้ความผิดพลาดตอนใกล้ตาย
สิ่งหนึ่งที่หนังพยายามบอก ตรงกับสิ่งที่ผมเรียนรู้จากพี่บีจาก Flock learning
ที่มักจะพูดกับพวกเราบ่อยๆ ว่า พ่อแม่ก็สามารถผิดพลาดได้ เพราะพ่อแม่ก็เป็นมนุษย์คนนึง
หนังเรื่องนี้ก็พูดแนวนั้นเลยครับ
ทั้งคนที่เป็นพ่อแม่ ต้องรู้จักยอมรับให้ได้ว่า
เขาก็สามารถผิดพลาดกับการใช้ชีวิตได้ ให้อภัย และเรียนรู้ไปจากมัน
รวมทั้งลูก ที่ต้องเข้าใจว่า พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์คนนึง
การผิดพลาดของเขาเป็นเรื่องปกติ เราต้องให้อภัย ทำความเข้าใจ และส่งเสริมกัน
มันเป็นมุมมองเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ เพราะแค่มองเรื่องนี้ต่างไปจากเดิม
แค่นั้นชีวิตเราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบเข้าใจมากขึ้นแล้วครับ
2. ความเป็นมนุษย์ ที่ไม่พูดกัน
ฉากที่ผมชอบฉากหนึ่งก็คือ ฉากที่เกือบจะ Happy Ending แล้ว
อยู่ดีๆ ตัวพ่อก็พูดเรื่องว่าตัวเองกำลังจะตาย
ทุกคนในห้องที่ร่าเริงก็ซึมขึ้นมาทันที
พิธีกรรายการเด็กชื่อดังที่อยู่ด้วยนั้นก็พูดออกมาว่า
พอเราพูดเรื่องความตาย เราก็มักจะอึดอันกัน
แต่ทำไมต้องอึดอัด เรื่องความตายเป็นเรื่องของมนุษย์
เรื่องของมนุษย์ควรจะเป็นเรื่องที่พูดกันได้
เมื่อไหร่ที่เราพูดเรื่องที่เราอึดอันกันออกมา
เราก็จะเข้าใจมัน นอกจากนั้น เรายังสามารถจัดการมันได้
พูด -> เข้าใจกัน -> จัดการมันได้
มันทำให้ผมกลับมาคิดว่า หลายๆ ครั้งในชีวิตเรา
มักถูกกรอบบางอย่าง ความรู้สึก อารมณ์ ความเชื่อใต้ภูเขาน้ำแข็งในจิตใจสะกดบางอย่างไว้
เราเลือกที่จะปฏิบัติตัวใต้สังคมแบบคนที่ใจดี เกรงใจ ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกคนอื่น
เลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจคนเดียวเงียบๆ แต่มันก็ไม่ได้ไปไหน
บางครั้ง มันก็เล็ดลอดออกมาด้วยวิธีการอื่นๆ
เช่น การประชดประชัน อารมณ์เสีย หรืออยากหลบหน้า
เป็นไปได้ไหม ที่เราจะใช้ความกล้าเล็กๆ ภายใต้ความเชื่อว่า
ถ้าเราพูดออกมา แม้อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน คิดไม่เหมือนกัน
แต่เราอย่างน้อยเราก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกแบบไหน
เราจะได้ร่วมกันจัดการความรู้สึกนี้กันได้
บางปม บางสถานการณ์ที่เราเก็บเงียบไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น
การยอมรับมันออกมาตรงๆ อาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ได้
3. คุณค่าของความเป็นมนุษย์
อีกฉากในหนังที่ผมประทับใจ
พระเอกมาหาพิธีกรรายการเด็ก ด้วยความแบบ
ไม่ไหวแล้วจ้า จะระเบิดแล้ว จนสลบไป
พอตื่นมา พิธีกรก็พาไปกินข้าวที่ร้านอาหาร
และขอให้พระเอกแบบฝึกอย่างหนึ่งที่เขาทำบ่อยๆ คือ
1 นาที ลองนึกถึงคนที่รักเราให้ได้เยอะที่สุด
ผมหลับตาและลองทำตาม
ภาพคนรอบข้างที่ยิ้มให้เราในแต่ละวันโผล่มาเต็มไปหมดเลยครับ
พอผ่านไปหนึ่งนาที ผมคิดว่าความรู้สึกที่ผมรู้สึกอยู่นี่ เหมือนตัวละครเลยครับ
โจทย์ของคนอย่างเรา คือการตอบคำถามว่าเกิดมาทำไมใช่ไหมครับ
ผมคิดว่าหลายๆ คนต้องตั้งโจทย์นี้ให้กับตัวเองแน่ๆ
คำตอบที่เราได้แน่นอนย่อมแตกต่างกันตามวัยที่เราโตขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในคำตอบที่น่าจะเหมือนกันหลายๆ คนก็คือ
อยากเป็นคนที่มีคุณค่า ทำบางอย่างให้กับใครสักคน
อยากมีคุณค่าต่อคนอื่น อยากมีคุณค่าต่อโลกใบนี้
จนหลายๆ ครั้ง เราก็พยายามทำอะไรหลายๆ แบบเพื่อตอบโจทย์แบบนั้น
พอผมลืมตา สิ่งนึงที่วิ่งเข้ามาในหัวก็คือ
จริงๆ แล้วเรามีคุณค่ามากๆ เลยนี่หว่า
อย่างน้อยกับคนรอบตัวที่รักเรา ยิ้มให้เรา
ความรักของพวกเขา ทำให้ผมรู้ตัวอยู่แล้วว่าเรามีคุณค่าให้เขามากๆ
แค่นี้ผมก็รู้สึกถึงความมีคุณค่าในตัวเองมากขึ้นแล้ว
เป็น mini workshop ครั้งแรกที่ได้ทำตอนดูหนังเลยนะเนี่ย
อ่านบทความนี้จบ อยากให้ลองหลับตาสัก 1 นาที แล้วลองทำกันดูครับ
A Beautiful Day in the Neighborhood
เป็นหนังหนึ่งเรื่องที่ไม่ตอบความคาดหวังแรก
แต่กลับให้ความสุขเล็กๆ กับผมมหาศาล
ผมรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ในตัวที่มากขึ้น
อยากจะมีความสุขกับคนรอบตัวมากๆ ขึ้น
อยากจะช่วยเด็กๆ เหมือนกับตัวละครในเรื่อง
อยากจะลองกลับไปเขียนงานดีๆ แบบที่พระเอกเขียนมากขึ้น
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่กลับมาที่ห้อง และเริ่มเขียนบทความนี้
หนังละมุนๆ ปลายปี
ถ้าใครมีโอกาส หวังว่าจะได้ไปดูกันนะครับ